เปิดเวบเมื่อ |
18/07/2554 |
ปรับปรุงเวบเมื่อ |
26/09/2566 |
ผู้ชมทั้งหมด |
|
|
สินค้าทั้งหมด |
4292 |
|
|

|
|

|
สินค้า/บริการ >> พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา พุทธสถานวิหารพระธรรมราช >> ปรอทงาม (ขั้นตติยะ), พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา, พุทธสถานวิหารพระธรรมราช, จ.เพชรบูรณ์
| ปรอทงาม (ขั้นตติยะ), พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา, พุทธสถานวิหารพระธรรมราช, จ.เพชรบูรณ์ รหัสสินค้า: 003988 หมดแล้ว Sold out. รายละเอียด:
ปรอทงาม(ขั้นตติยะ), พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา, พุทธสถานวิหารพระธรรมราช, จ.เพชรบูรณ์
หยุดเวลาไว้ให้ความเยาว์วัยสถิตอยู่นิรันดร!!
ไม่มีใครอยากถูกทักว่าแก่ หยุดความชราคงความอ่อนวัย ไวัตั้งแต่นาทีนี้!!
ความงดงามจะมีไว้แก่ผู้ครอบครอง ใครอยากโบท๊อกฟิลเลอร์ร้อยไหมบอกได้เลยพกปรอทงามแจ่มกว่าเยอะ!!
จารด้วยยันต์ "พรหมจำแลง" ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยความอ่อนเยาว์ เสริมเสน่ห์และสง่าราศีให้แก่ใบหน้าผ่องใสมีออร่าจับ จนใครเห็นเป็นต้องทักต้องถามว่าไปทำอะไรมา ทำไมหน้าดูเด็กลง ที่มาของวิชานี้มีอยู่ว่าในขณะที่พระอาจารย์โอ กำลังปะติดปะต่อศึกษาสายวิชาพระแม่พันธุรัตน์ให้ครบ เนื่องจากวิชานั้นมีหลายบท และยังสลักอยู่ในแผ่นหินที่ถ้ำดาวเขาจันทร์ ซึ่งมีคณาจารย์สี่ท่าน พบในระหว่างธุดงค์ มีหลวงพ่อจ้อย หลวงพ่อทั่ง หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่อยงค์ ได้แบ่งกันท่องจำคนละตอน จึงทำให้วิชาแยกเป็นสี่สาย และบางท่านก็ถ่ายทอดมายังครูวงค์ ครูภังค์ ครูหาญ พระอาจารย์โอได้อุตสาหะตามเรียนจนครบในชุดวิชานี้
แต่มีอยู่หมวดหนึ่ง ตั้งแต่เรียนวิชามา พระอาจารย์ไม่ค่อยทำออกมาเป็นวัตถุมงคลให้ใครได้ใช้บูชา คือวิชา "พรหมจำแลง" ท่านได้แต่เสกน้ำล้างหน้าของท่านเองเท่านั้น แต่ด้วยเพราะเวลาผ่านไปหลายปี ลูกศิษย์ยุคแรกๆ ของพระอาจารย์ก็แก่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หลายคนไม่ได้มากราบพระอาจารย์หลายปี แต่พอมาแล้วกลับเห็นพระอาจารย์ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงไว้เช่นนั้น จึงเป็นเหตุชนวนที่มาที่หลายๆคน สงสัยสอบถาม แต่ท่านตอบแบบเลี่ยงๆว่า เจริญจิตภาวนา ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เครียดก็ไม่แก่ จนถามกันหลายคนและบ่อยขึ้น พระอาจารย์เลยพลั้งปากว่า "หรืออาจจะเป็นเพราะวิชาพรหมจำแลง ที่ใช้เสกน้ำล้างหน้าหรือเปล่าไม่แน่ใจ" ซึ่งที่ผ่านมาท่านจะลงวิชาพรหมจำแลงนี้ ให้เป็นรายบุคคลเท่านั้น แต่ผลปรากฏพอทำให้ใครไปแล้ว ริ้วรอยเลือนหาย หน้าผ่องใสจนคนทัก อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลก ซึ่งจะรู้กันเฉพาะวงในเท่านั้น
"ปรอทงาม" นี้เป็นวิชาที่ปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุแห่งพม่า ผู้เป็นอาจารย์ของพระอาจารย์โอได้ค้นพบโดยบังเอิญ ท่านมีชื่อว่า “อาจารย์อูกาลา” อาจารย์อูกาลาได้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตให้แก่การเผาปรอทก็ไว้ได้ ถึงขนาดมีเตาเผาปรอทไว้ข้างที่นอนเลยทีเดียว เป็นกิจวัตรของอาจารย์อูกาลาที่จะเผาปรอทมากมายหลายชนิดตามตำรา เป็นที่รู้กันดีว่ากว่าจะได้ปรอทกายสิทธิ์แต่ละเม็ดนั้นไม่ใช่ว่าจะเผาครั้งเดียวแล้วจะได้ บางเม็ดต้องเผาแรมปี ทุบหลายเบ้า เผาจนหมดถ่านไปไม่รู้กี่กระสอบจึงจะสำเร็จ ทีนี้อาจารย์อูกาลาก็มีปรอทอยู่หลายเม็ดที่พักไว้ เพื่อจะนำไปเผาต่อในโอกาสหน้า เมื่อหลายปีมาแล้วอาจารย์อูกาลาเผาได้ปรอทอยู่เม็ดหนึ่ง มีสีสันวรรณะนวลตาดั่งพระจันทร์ซึ่งต่างกับปรอทชนิดอื่นๆที่อาจารย์อูกาลามีอยู่ จึงแยกไว้ต่างหากโดยเก็บพกใส่ไว้ในช่องเล็กๆที่เอวกับของใช้อื่นๆ ด้วยขนาดที่เล็กจึงทำให้อาจารย์อูกาลาไม่ทันได้สังเกตุ เก็บหลงจนลืมอยู่ในเอวอยู่หลายปี
จนมาวันหนึ่งอาจารย์อูกาลาได้พบกับน้อยชาย คืออาจารย์อูจี ซึ่งอาจารย์อูจีก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเช่นกัน เมื่อพบหน้ากันอาจารย์อูจีถึงกับทักถามอาจารย์อูกาลาว่า “พี่ชายสำเร็จปรอทชนิดใดมา ทำไมหน้าตาของพี่ชายถึงดูอ่อนวัยกว่าฉันเสียอีก” อาจารย์อูกาลาก็นึกๆดูว่าตนเองก็ไม่ได้พกปรอทอะไรติดตัวมากนัก จะมีก็แต่ปรอทแหม่ต่อที่พกติตตัวอยู่ประจำ ถึงปรอทแหม่ต่อจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีเสน่ห์แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง และปรอทส่วนใหญ่ที่ทำสำเร็จก็ใส่ไว้ในเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา หรือไม่ก็ให้ลูกศิษย์ที่ศรัทธาไปใช้ ก็เลยลองค้นดูที่ตัวก็พบกับปรอทเม็ดหนึ่งที่เก็บไว้ที่เอวกับของใช้อื่นๆจนลืม ด้วยความสงสัยว่าที่หน้าตนเองดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของปรอทเม็ดนี้ จึงได้ถวายปรอทที่ว่าให้เจ้าอาวาสองค์หนึ่งไป พอเจ้าอาวาสได้นำปรอทไปแช่น้ำอาบ แช่น้ำล้างหน้าทุกวัน ปรากฏว่าผิวพรรณหน้าตาของเจ้าอาวาสก็ดูผุดผ่องใสสว่างและอ่อนเยาว์ผิดกว่าแต่ก่อนมากนัก
อาจารย์อูกาลาเห็นดังนั้นจึงพิจารณาอยู่เนืองๆ นั่งนึกอยู่หลายปีว่าปรอทเม็ดนั้นคือปรอทชนิดใด ใช้สูตรยาตัวไหนถึงจะเผาปรอทชนิดนั้นได้อีก จนกระทั่งได้มาพบกับพระอาจารย์โอก็ยังนึกไม่ออก และแล้ววันหนึ่งขณะที่อาจารย์อูกาลาได้รื้อหามวลสารไปเผาปรอท ก็พบกับกองแร่ชนิดหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ทันใดนั้นก็พลันนึกออกว่าตนเองเคยเอาปรอทเม็ดหนึ่งที่ยังเผาไม่สำเร็จดีไปใส่ไว้กองแร่ชนิดนั้น และเมื่อนำปรอทไปเผาต่อคงจะติดแร่ชนิดนี้ไปด้วย ซึ่งปรอทเม็ดนั้นก็คือปรอทที่อาจารย์อูกาลาพกติดเอวไว้จนลืมนั่นเอง ด้วยฤทธานุภาพแห่งปรอทกายสิทธิ์ที่ทำให้สังขารอยู่เหนือกาลเวลา หน้าตาอ่อนเยาว์ ผิวพรรณผ่องใสเป็นยองใย ตามตำราว่าไว้ ปรอทนั้นมีชื่อว่า “ปรอทงาม”
ด้วยความที่อาจารย์อูกาลาเห็นว่าพระอาจารย์โอเป็นผู้ที่ตั้งใจและเอาจริงเอาจังกับการเผาปรอท อาจารย์อูกาลาจึงได้มอบแร่ชนิดนั้นมาให้พระอาจารย์โอสำหรับการเผา “ปรอทงาม” และเมื่อพระอาจารย์โอได้แร่มาก็ลองทำดูจนสำเร็จเป็นปรอทงามเม็ดหนึ่ง แล้วก็เก็บพกไว้ในอังสะเรื่อยมา ที่น่าแปลกคือมักจะมีลูกศิษย์พระอาจารย์โอหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเนื้อตัวผิวพรรณของพระอาจารย์ดูผ่องขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น พระอาจารย์โอจึงมั่นใจแล้วว่าปรอทงามนี้มีคุณวิเศษดั่งเช่นที่อาจารย์อูกาลาเล่าไว้ให้ฟังจริงๆ
อาจารย์อูกาลาเล่าให้พระอาจารย์โอฟังว่าตอนที่เกิดแผ่นดินไหวที่พม่า เจดีย์ใหญ่หลายองค์ได้พังทลายลงมา มีเจดีย์หนึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจดีย์สมัยพะโค๊ะ ภายในกลางเจดีย์นั้นมีดุมแร่อยู่ ไม่แน่ใจว่ามีคนนำไปไว้ในเจดีย์หรือแร่นี้ผุดขึ้นมาจากดินเอง เป็นธาตุหรือแร่ชนิดใดยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน เมื่อพิจารณาดูก็พบว่าก้อนแร่ชนิดนี้เป็นแร่ที่มีปรอทแทรกอยู่ในตัว มีอายุเก่าแก่นับพันปี ดีไม่ดีอาจจะเป็นแร่ที่ฤาษีตาวัวตาแพะนำไปเก็บไว้ในเจดีย์ก็เป็นได้ เพราะมีลักษณะสันฐานคล้ายคลึงกับแร่ชนิดหนึ่งที่ถูกระบุไว้ในตำราการสร้าง “ปรอทงาม” ของฤาษีตาวัวตาแพะแห่งเมืองพะโค๊ะ ดังนั้นถ้าแร่หมดแล้วก็คงหามาทำ “ปรอทงาม “ ไม้ได้อีก
ในตำรากล่าวไว้ว่า “ปรอทงาม มีสีสันวรรณะงดงามนวลตาดั่งพระจันทร์ ใครมีไว้ครอบครองจะหน้าตาอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณผ่องใสเด่นเป็นสง่าประดุจดั่งแสงจันทร์วันเพ็ญ” เป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาที่มีอยู่ในตำราของเมืองพะโค๊ะ มีฤาษีอยู่ตนหนึ่งชื่อว่าฤาษีตาวัวตาแพะ เป็นฤาษีใหญ่แห่งเมืองพะโค๊ะผู้สำเร็จปรอทวิเศษ ทำให้เมืองพะโค๊ะรุ่งเรืองถึงขีดสุด จนเป็นที่ยกย่องจากนานานครว่าเป็น “นครแห่งทองคำ” กล่าวกันว่าในสมัยนั้นใครอยากได้ทองคำให้นำสังกะสีมา แล้วฤาษีตาวัวตาแพะจะเขวี้ยงเม็ดปรอทใส่ สังกะสีก็จะกลายเป็นทองคำ ใครอยากได้แร่เงิน ก็ให้นำตะกั่วมา แล้วฤาษีตาวัวตาแพจะเขวี้ยงเม็ดปรอทใส่ ตะกั่วก็จะกลายเป็นแร่เงินอย่างอัศจรรย์ ระยะเวลาการขาย : จนกว่าของจะหมด |
|
|
|