รายละเอียด:
เทียนคล้า, พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา, พุทธสถานวิหารพระธรรมราช, จ.เพชรบูรณ์
ของวิเศษในตำนานที่มีแต่คนพูดถึง แต่แทบไม่มีใครเคยเจอ หายากยิ่งจนทุกคนคิดว่าไม่น่ามีอยู่จริง ไร้ร่องรอยให้สืบค้นจนกลายเป็นเรื่องปรัมปรา จะเผาเป็นร้อยๆป่า ก็อย่าหวังเจอ ถ้าโชคดีก็คงได้แค่พบ “ไข่นกคุ้ม”
อาจารย์หนานกา อาจารย์หนานจัน ผู้เป็นครูบาอาจารย์อาวุโสยังเคยขอพระอาจารย์โอไปฝังเข้าตัว พระอาจารย์จึงถามว่า “อายุ70-80แล้วจะฝังสิพ่อ” อาจารย์ทั้งสองตอบว่า “แก่แล้วให้กูได้ฝังสมใจเถอะ ตายวันตายพรุ่งไม่รู้ เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
เทียนคล้าชุดนี้ มีกลุ่มคนที่นิยมสะสมของวิเศษในตำนานตามตะบี้ตะบันจากพระอาจารย์โอมากว่า 20 ปีแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีในบรรดาพวกที่เล่นของกายสิทธิ์ทนสิทธิ์ทั้งหมดว่า การจะหาเทียนคล้าตัวจริงๆนั้น หาตัวแทบไม่มี และไม่มีใครรู้ว่าเทียนคล้าจริงๆต้องออกมาจากปล้องไผ่
พระอาจารย์โอท่านได้กล่าวถึงการเกิดขึ้นของกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เทียนคล้า" แรกเริ่มเดิมทีเป็นกายสิทธิ์ที่เกิดจากต้นคล้า เมื่อมีฤทธิ์มีกำลังกายสิทธิ์เต็มเปี่ยม ก็จะบินออกจากต้นคล้าไปทันที และจะไปอาศัยอยู่ในปล้องไผ่อันเป็นสถานที่มิดชิดและปลอดภัยกว่าต้นคล้าที่สูงแค่หัวเข่า
เป็นกายสิทธิ์ที่สามารถออกเที่ยวไปไหนมาไหน แต่ก็จะกลับมาอยู่ในปล้องไผ่ที่ถูกเลือกดังเดิม คนที่รอว่าจะได้เทียนคล้าจากต้นคล้าจึงไม่มีใครเคยเอาทัน หลายคนที่มุ่งไปล่าเทียนคล้าจากต้นคล้า ให้ตายก็หาไม่เจอหรอก แม้แต่คนที่ปลูกบ้านอยู่ในป่าคล้าทุ่งคล้าเลยก็ไม่เคยเจอ จึงเป็นเหตุให้หลายคนลงความเห็นว่า เทียนคล้าคงเป็นแค่เรื่องเล่าไม่เคยมีจริง
เทียนคล้า เกิดจากการสมาสของคำสองคำ "เทียน" ในที่นี้คือ มีวรรณะกึ่งทึบกึ่งโปร่งแสง ดั่งเทียนไขขี้ผึ้งที่แสงผ่านได้ และยังหมายถึงวัตถุที่เรืองแสง ออกแสง และเคลื่อนที่ด้วยแสงอีกด้วย ส่วนคำว่า "คล้า" ในที่นี้ก็คือเกิดจากต้นคล้า คำว่า "เทียนคล้า" ก็จึงมีนัยยะอันหมายถึง แสงจากต้นคล้า
เป็นของวิเศษที่เป็นทั้ง "แสง" คือวัตถุที่มีแสงในตัว แสงส่องผ่านได้ และออกแสงเรืองแสงเองในวันดิถี เป็นทั้ง "คด" คือไม่ตรง ผิดแผกไปจากธรรมชาติที่ควรจะเป็น และเป็นทั้ง "กายสิทธิ์" คือมีชีวิตจิตใจเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง เป็นของวิเศษ "ไตรภาคี" เสร็จสรรพในตัว
"เทียนคล้า" ชุดนี้ตั้งแต่มาอยู่กับพระอาจารย์โอท่านก็ทำพิธีเลี้ยงเรื่อยมา ท่านว่ามันงอกและเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย เพราะแต่ก่อนมีไม่เยอะแบบนี้ ถือเป็นของดีของวิเศษที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถเอาไปใช้ได้ทุกทาง เป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งค้ำคูณ เป็นของชุ่มเย็น ที่ช่วยไม่เลือก ไร้กฏเกณฑ์ ไร้เงื่อนไง อยู่เหนือสมมติ ดูตัวอย่างได้จาก "ตาแป" จากคนไม่พอจะมีก็มี ไม่พอจะรวยก็รวย แคล้วคลาดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทั้งๆที่ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย
ขนาด "ตรีเพชรกล้า" ยังฝังไว้ที่แผ่นหลังเพื่อคุ้มครองป้องกันภัย อยู่ยงคงศาสตราวุธ เก่งกาจจนได้เป็นแม่ทัพเมืองเชียงใหม่ เป็นยอดขุนพลในตำนานที่ว่ากันว่าไม่เป็นรองใครนอกจากขุนแผนแสนสะท้านเลยทีเดียว พระอาจารย์เคยนำเทียนคล้าชุดนี้ใส่วัตถุมงคลพิเศษรุ่นนึงไปไม่กี่องค์ ตอนนั้นออกให้บูชาหลักแสน แต่คนที่ได้ไปล้วนกำไรหลักล้าน
พระอาจารย์โอได้นำมาบรรจุลงในตลับรูปหัวใจพร้อมกับ “สีผึ้งมหาราชทั้ง4” สำหรับผู้มีวาสนาที่อยากได้อยากมีอยากดีด้วยอิทธิฤทธิ์คุณวิเศษของกายสิทธิ์หนึ่งเดียวในตำนาน
"สีผึ้งมหาราชทั้ง4" สำเร็จขึ้นด้วยวิชามหาราชทั้ง4จากคัมภีร์มหาราช ที่เป็นเลิศทางเสน่ห์โชคลาภเจริญรุ่งเรืองชั้นสูง "สิ่งใดที่ปรารถนามิต้องขอก็มาเอง" ประกอบไปด้วย 1. [มหาราชพิสดาร] คุณวิเศษสุดเข้มขลังพิสดารศักดิ์สิทธิ์มากปาฏิหารย์สมชื่อนั้นแล , 2. [มหาราชหงส์] ดึงหงส์มาชมกา, 3. [มหาราชขาดตัว] เป็นเอกที่สุดในกลบทคัมภีร์มหาราช, และ 4. [มหาราชครูเสน่ห์] เหนือชั้นกว่า "อิทธิเจ" ตรงที่ว่าเป็นทั้งเสน่ห์และโภคทรัพย์ในตัวพร้อมกัน
มีคุณวิเศษเหนือสีผึ้งอื่นๆตรงที่ว่า "แม้แต่เจ้าขุนมูลนาย หรือบุคคลชั้นสูง หากเห็นหน้าเราเมื่อไหร่ก็เป็นต้องรัก ได้ยินเสียงเราเมื่อไหร่ก็เป็นต้องเอ็นดู ดั่งว่าเราเป็นเจ้าชาย และเจ้าหญิงของบุคคลทั้งหลายก็ว่าได้"
มวลสารทั้งหมดถูกนำมาหุงเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้ไฟ เพื่อรักษาฤทธิ์ของตัวยาและว่านไว้ พระอาจารย์โอปลุกเสกเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2562 ทั้งยังปลุกเสกอย่างยิ่งใหญ่ในคืนวันเพ็ญตลอดระยะเวลา 2 ปี โดยทุกครั้งที่ท่านเสกสีผึ้งนี้ ท่านจะทำการ "ลบถมผึ้ง" ด้วยสารพัดพระยันต์จากคัมภีร์มหาราชทุกครั้งจนครบตำรา
การลบถมผึ้งนี้ถือเป็นเคล็ดลับที่พระอาจารย์ใช้ในการสร้างสีผึ้งขึ้นชื่อของท่านหลายๆรุ่น เริ่มจากการนำแผ่นขี้ผึ้งแท้หรือสีผึ้งมาทำการลงยันต์ตามสูตรทีละขั้นๆ แล้วจึงทำการละลายแผ่นขี้ผึ้งหรือสีผึ้ง รอจนแข็งตัวก่อนจะเขียนยันต์ซ้ำลงไปอีก พระอาจารย์โอได้ทำการลงยันต์ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้อยู่หลายครา โดยกรรมวิธีนี้จะเสมือนเป็นการเพิ่มความเข้มข้นให้แก่ตัวขี้ผึ้งหรือสีผึ้งนั้นๆให้มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นร้อย
หุงขึ้นจากมวลสารพิเศษมากมายบรรยายไม่หมด อาทิเช่น:
- "น้ำมันข้าวทิพย์" ที่มีสรรพคุณทางยามากมาย คุณวิเศษมงคลครบครัน พระอาจารย์โอเก็บบ่มไว้ และปลุกเสกเรื่อยมาตั้งแต่พิธีกวนข้าวทิพย์ปี 2559
- "ขึ้ผึ้งพระปาติโมกข์" ซึ่งตามธรรมเนียมช่วงฤดูกาลเข้าพรรษา คณะสงฆ์ทั่วทุกวัดในเขตอำเภอจะพร้อมใจกันลงพระอุโบสถเพื่อสดับรับฟังพระปาติโมกข์ และตรวจสอบองค์พระปาติโมกข์เพื่อความถูกต้อง โดยมีพระสงฆ์ทรงคุณวุฒิในการสวด ทั้งนี้ในความกรุณาของคณะสงฆ์ทั่วทั้งอำเภอได้อนุเคราะห์อนุญาติให้พระอาจารย์เอาขี้ผึ้งแท้เข้าไปร่วมการทำสังฆกรรมลงอุโบสถในทุกๆครั้งตลอดพรรษานี้ โบราณอาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า “ขึ้ผึ้งพระปาติโมกข์นั้นเลิศล้ำยิ่งกว่าขี้ผึ้งใดใด”
- “ลูกอมเทียนชัยมหาราช” ที่พระอาจารย์โอได้น้ำตาเทียนจากการทำ "น้ำมนต์มหาปทุม” มาปั้นเป็นลูกๆ แล้วเก็บสะสมไว้เรื่อยมา ตามตำรากล่าวไว้ว่า “น้ำมนต์มหาปทุม” นี้สามารถพลิกชะตาชีวิต กำจัดทุกข์โศกโรคภัยมลทินโทษทั้งหลายให้มลายหายสิ้นไป ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์
Light Of Calathea by Phra Arjarn O, Phetchabun.
The legendary supernatural amulet that people always talk about but, almost no one has ever seen. It's so rare that everyone thinks it never been existed because there is no enough information about it for someone to seek until it becomes a myth. Even burning hundreds of forests, don't expect to find it. If lucky, might be found only a “Quail Egg”.
Arjarn Nangar & Arjarn Nanchan, the senior magic masters also asked Phra Arjarn O to bury this “Light Of Calathea” in their backs. Then, Phra Arjarn O asked them “You are 70-80 years old already my fathers, why both of you still want it?” Both masters replied same answer that, “I am so old, let’s bury it for me. I don't know I will die today or tomorrow. It will be precious prestige of my life.”
For this set of “Light Of Calathea” or Calathea Crystal, there is a group of people who have been collecting legendary magic items waiting to get from Phra Arjarn O for more than 20 years, because it is well known among all the collectors of supernatural amulet that finding a “Light of Calathea” is really really difficult until it seems to be impossible. And no one knows that the authentic “Light Of Calathea” must come out of the bamboo culm.
Phra Arjarn O said about the emergence of this kind of supernatural stone that "Light Of Calathea" is originally born from Calathea plant. When it is full of fantastic power, it will fly out of Calathea plant immediately and will go to live in a bamboo culm which is suitable place that is safer and more secure than a knee-high Calathea plant.
It's a supernatural stone that can travel around but, will return to the original selected bamboo culm. So, people who are waiting to get a “Light Of Calathea” from the Calathea plant, no one could catch it. Many people who are aiming to hunt it from the Calathea plant will never find. Even people who built a house in the Calathea forest have never met. That's why many people agree that “Light Of Calathea” is probably just a fairy tale that has never been true.
“Light Of Calathea” or called in Thai language as “Tian Khla” is formed from the compound of two words. The word “Tian" here means the semi-opaque, semi-transparent color like the beeswax which the light can shine pass through. It also refers to objects that can glow in the dark and move with light by itself as well. While the word "Khla" here means something that is originated from Calathea plant.
It is the magical amulet that is called "Light (TH:Sang)", means the object which has its own light from its body, light can pass through, and glow on the auspicious day by itself. Moreover, it is “Supernatural Solid Object” (TH:Kot)", means the supernatural object that is not straight, different from the nature it should be. Furthermore, it is "Fantastic (TH:Kaiyasit)", means something that having a soul & become alive that can move around on its own thinking. Therefore, “Light Of Calathea” is the wonderful "Tripartite" amulet which has complete ability of Sang, Kot and Kaiyasit altogether in one.
Since this set of "Light Of Calathea (Tian Khla)" has been with Phra Arjarn O, he has continued to feast it until it could sprout and increase in number. It is considered as a holy wonderful gift that the owner can use in every way, as a refuge, as a support. It never deny to help the owner, it will support the possessor without rules, without conditions, beyond the imagination. Can see an example from the life of "Tar Pae (Uncle Pae)", from poor to be rich, from lack to be full, always safe like as the Thai idiom stated that “Fall in the water, not get washed away. Fall in the fire, not get burnt” even Tar Pae is not a good person.
Even “Tri Petch Kla” also embedded on his back for the great protection and became invulnerable for every deadly weapons. He was so skillful until he was promoted to be the great commander of Chiang Mai army. He was a legendary commander-in-chief that is said to be second to none excepting “Khunpaen”. Phra Arjarn O had ever put “Light Of Calathea” in few pieces of special edition amulet. At that time, that amulet was issued to worship at hundred thousand baht but, all those who have that amulet got millions of profits later.
Phra Arjarn O has brought it into a heart-shaped cassette along with "Fantastic Four Maharart Wax" for those who wish to have extraordinary amulet for good luck and better life from the magical power of the supernatural amulet in the legend.
"Fantastic Four Maharart Wax", this wax was accomplished with fantastic four subjects from Maharart Scripture that is very excellent in case of charm, wealth & progress "Whatever the devotee wants, will be fulfilled automatically" consists of 1. [Extraordinary Maharart] wonderful, magical, miracle, and full of extraordinariness that lives up to its name., 2. [Maharart Chahong] “Attracting White Swan To Love Black Crow”., 3. [Definitive Maharart] the final perfect one from Maharart scripture. 4. [Maharart Chakru Sanae] superior than "Itthije" because it can support the devotee in case of wealth & luck simultaneously.
There is a special virtue over other types of magical wax that “Even The Nobles Or High-Ranking Person, When They See Your Face, They Must Love You. Whenever They Hear Your Voice, They Have To Be Affectionate As If You Were Prince Or Princess Of All Peoples."
All the materials were cooked together without fire to maintain the performance of those materials. Phra Arjarn O has continually blessed this wax since 2019 and also specially blessed on the full moon nights along 2 years. Moreover, every time he blessed this wax, he would use the special technique called "Repetitious Enhancement" with various Yants from Maharart Scripture every time until complete all of the scripture.
"Repetitious Enhancement" is the special technique that Phra Arjarn O has used to make many generations of his wax. Firstly, Phra Arjarn O wrote magical Yant follow the procedure in magic scripture step by step on pure beeswax or magic wax and then it will be melted. After that, when it is harden, Phra Arjarn O continued to write the Yant on that beeswax or magic wax repeatedly to increase the power until he has confidence in its power. This method will make the beeswax or magic wax has magical power inside and be powerful than normal technique about 100-1,000 times.
Made from many special magic substances that cannot be fully described such as:
- "Celestial Cereal Oil (Nam Mun Khao Thip)" that has many medicinal properties and auspicious power. Phra Arjarn O has kept it and continually blessed since the rice porridge ceremony in 2016.
- "Patimokkha Wax", during the Buddhist Lent season, the monks from all temples in the same district will join together to enter the temple to listen to Patimokkha chanting from the qualified monk. Luckily, this beeswax is in the auspicious ceremony every time throughout this year, the ancient teacher said that "The Patimokkha Wax Is More Excellent Than Any Wax."
- "Holy Maharart Candle Tears Ball" that Phra Arjarn O collected candle tears from the making of “Mahar Patoom Holy Water” to mold into balls. It is said that this holy water will recuperating life to be better & eliminate misfortune by the holy power of 5 Buddha’s virtues.
กระปุกซ้ายคือ "เข็มทอง"
กระปุกกลางคือ "เข็มปรอท"
กระปุกขวาคือ "เทียนคล้า"
The left bottle is "Golden Needle".
The central bottle is the "Mercury Needle".
The right bottle is "Light Of Calathea".
"กล่าวถึงทัพอัสดรตรีเพชรกล้า อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา
อยู่คงศาสตราวิชาดี แขนขวาสักรงเป็นองนารายณ์
แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี
ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง สักอุระรูปพระโมคคลา
ภควัมปิดตานั้นสักหลัง สีข้างสักอักขระนะจังงัง
ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา ฝังเข็มเล่มทองทั้งสองไหล่
ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา
ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว เป็นโปเปาปุปปิบหยิบทั้งกาย
ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว
ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว"
"เทียนคล้า" ของวิเศษแห่งยอดนักรบในตำนาน "แสนตรีเพชรกล้า"!!
ตำนานเทียนคล้า
ตอนที่.1 ของขลังของตาแป
หากจะกล่าวถึงตำนานของ "เทียนคล้า" ชุดนี้ ต้องย้อนไปเมื่อ30กว่าปีก่อน เรื่องมีอยู่ว่าการไถที่ไถทางเพื่อทำไร่ โดยเฉพาะการทำข้าวโพดสมัยก่อน เขาจะว่าจ้างโดยมีการทำสัญญาล่วงหน้าเป็นปีๆ ซึ่งคนที่จะไถไร่ปลูกข้าวโพดได้ในสมัยนั้นก็มีอยู่ไม่มาก ยิ่งเป็นไร่ที่มีทางลาดชันยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เพราะคนที่จะไถไร่ทางชันแบบนั้นได้ก็มีอยู่ไม่กี่คน และต้องมีฝีมือเข้าขั้นชั้นเซียนจริงๆ
"ตาแป" คือหนึ่งในคนขับรถไถชั้นเซียนเหล่านั้น ที่สามารถไถไร่ทางชันได้ ไม่ใช่แค่เพราะความชำนาญในวิชาชีพ แต่เพราะแกมีของดีบางอย่างพกติดตัวไว้ด้วยเสมอ ถ้าจะเห็นภาพว่ายากไหมก็ลองคิดดูว่าเวลาตาแปไปไถไร่ที่หรือไถเก็บเกี่ยวไร่ข้าวโพด แกต้องขับรถไถขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด แล้วค่อยหันหัวรถไถ ไถลากลงมาทีเดียว จึงเป็นเหตุว่าการไถไร่ทางชันจึงไม่สามารถไถเหมือนไร่ทั่วไปปกติได้ ต้องควบคุมจังหวะรถให้ดี ทั้งขาขึ้นและขาลง ขับขึ้นช้าไปรถก็ดับ ขับลงเร็วไปก็เบรคไม่อยู่ ฉนั้นถ้าคนขับรถไถไม่ชำนาญจริง ก็อาจเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิตได้เลย บางรายบาดเจ็บสาหัส หลายคนถึงกับสิ้นลมหายใจไปเลยก็มี แต่เป็นโชควาสนาของตาแปที่แกมีเครื่องรางของขลัง "ก้อนนึง" ติดตัวอยู่ตลอด ทำให้ตาแปอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย
ของขลังก้อนนั้นคือ "เทียนคล้า" ขลังชนิดที่ว่า คอยค้ำคูนตาแปทุกทาง แม้ว่าตาแปแกจะชอบกินเหล้าเมายา ไม่เข้าวัดทำบุญ ไม่สวดมนต์ ไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม เรียกว่าไม่ค่อยทำอะไรที่คนส่วนใหญ่เค้าว่าเป็นทางบุญทางกุศล แต่จะว่าเป็นคนเลวก็ไม่ใช่ คือแกก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆที่ทำมาหาเลี้ยงชีพ เน้นทำมาหากิน ยิงนกตกปลา เอาเป็นว่าอะไรที่ทำเงินได้แล้วไม่เดือดร้อนตัวเองในภายหลัง แกเอาหมด แกจึงชอบรับจ้างไถไร่ไถที่เป็นหลัก โดยเฉพาะไถที่ทำไร่ข้าวโพดเพราะค่าจ้างจะแพงกว่าไถไร่ทำนาสิบเท่าตัวได้ แล้วยิ่งเป็นที่ทางชันหรือทางทุรกันดานแกยิ่งชอบเพราะได้เงินเยอะ
พอเวลาผ่านไปเกือบสิบปีได้ ทีนี้เพื่อนฝูงคนรู้จักแกก็เกิดความใคร่รู้สงสัยกันมาตลอดว่าทำไมตาแปแกสามารถไถไร่ไถที่มานานขนาดนี้ แถมยังชอบไถไร่ทางชัน โดยที่ยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงอะไร มีกินมีใช้ไม่ขาดได้ขนาดนั้น ด้วยอุปนิสัยของตาแป เวลาแกได้เงินจากการทำงานมาเยอะๆก็ชอบเอามาเลี้ยงเหล้า เพื่อนฝูงในวงเหล้าก็มักถามว่าแกมีอะไรดี แกก็ไม่เคยบอกใคร
จนมาวันหนึ่ง พอทุกคนกำลังกรึ่มๆได้ที่ คนในวงเหล้าก็เปิดประเด็นเรื่องของดีของขลังที่ตนเองพกพาติดตัวกัน ต่างคนต่างก็ควักออกมาโชว์ คนนั้นบอกมีตะกรุด คนนี้บอกมีสีผึ้ง อีกคนบอกมีงั่ง ประมาณนี้ วันนั้นตาแปแกน่าจะเมาได้ที่ แกเลยยอกควักเอาของดีที่แกหวงนักหวงหนาออกมาให้ดูพร้อมพูดว่า "กูไม่มีอะไร พกแร่อยู่ก้อนเดียว"
ลักษณะของก้อนแร่นั้น จะว่าเป็นหินก็ไม่ใช่ เป็นแก้วก็ไม่เชิง บางส่วนแสงผ่านได้ บางส่วนก็ทึบแสง สีออกไปในโทนดำแกมขาวสลับเขียว และมีบางจุดที่ผิวสัมผัสมีความด้านคล้ายหินชนวน และที่แปลกไปกว่านั้นคือมันมีคนนึงเอาแม่เหล็กมาลองทดสอบเพื่อดูประมาณว่าเป็นเหล็กไหลอะไรรึเปล่า มันก็ดันติดกันจริงๆ แต่ว่าแต่ละด้านเหมือนจะดูดแม่เหล็กได้ไม่แรงเท่ากัน คนในวงเหล้าก็เลยถามแกถึงที่มาที่ไปของในมือที่แกว่าวิเศษนักวิเศษหนาชิ้นนั้น บางคนก็อยากฟังสนุกๆเพราะนึกว่าตาแปแกล้อเล่น แต่หลังจากที่ตาแปเล่าให้ฟัง ทุกคนตรงนั้นต่างอยากได้เจ้าก้อนนี้ขึ้นมาทันที
ตำนานเทียนคล้า
ตอนที่.2 ตาปะขาวกับไผ่ด้วนปลายดำ
ตาแปได้เล่าให้ฟัง โดยเนื้อหาใจความมีอยู่ประมาณว่า...ย้อนไปประมาณสิบปีก่อนหน้านั้น แกเคยได้รับการว่างจ้างให้ไปไถไร่ข้าวโพดแห่งหนึ่ง ทั้งไถที่เพิ่มและไถเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นไร่ที่ปลูกบนทางชัน ตั้งอยู่แถบห้วยขี้ตม ห้วยกะโป๊ะ โกนสะดวง ซึ่งชาวบ้านระแวกนั้นเชื่อกันมาแต่บรรพบุรุษว่าที่ดินแถบนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมืองลับแล ยิ่งเป็นพื้นที่ลาดชัน แล้วตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าอาถรรพ์เช่นนี้ด้วยแล้ว ก็พูดได้เลยว่ายิ่งอันตรายขึ้นไปอีกหลายระดับ
ซึ่งเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้น ณ ที่ไร่ข้าวโพดนั้น จะว่าเรื่องบังเอิญก็คงไม่ใช่ เพราะเจ้าของไร่เคยจ้างคนขับรถไถมาหลายคน ก็มีบางคนประสบอุบัติเหตุตกรถ ตกรา บ้างก็โดนรถไถทับตายในไร่เลยก็มี อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ชำนาญในเส้นทางลาดชัน หรืออาจจะเป็นเพราะแรงอาถรรพ์ของพื้นที่ด้วยก็เป็นได้ เรียกว่าสองสามปีก็ต้องหาคนขับรถไถใหม่ทีนึงขนาดนั้นเลย
ตาแปบอกว่าเจ้าของไร่เค้าให้ค่าจ้างงาม ให้กำไรค่าเหนื่อยเยอะ แกก็เลยไม่กลัว พอถึงวันเวลา แกก็จัดแจงของเครื่องใช้สำคัญขึ้นรถไถ พอถึงที่หมายแกก็ไถที่ทำไร่ใหม่ไปเรื่อยๆ ผ่านไปนานเท่าไหร่จำไม่ได้ ปรากฏว่าอยู่ดีๆเครื่องยนต์ของแกก็ดับ แกก็สตาร์ทติดใหม่ แต่แล้วมันก็ดับอีก แกเลยลองสังเกตดูรอบๆว่ามีอะไร แกก็สะดุดกับ "กอไผ่" กอใหญ่กอหนึ่ง จากการวิเคราะห์แกว่า ยิ่งขับไปใกล้กับกอไผ่นั้นเท่าใหร่ รถก็ยิ่งดับบ่อยเท่านั้น
ตอนนั้นแกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่หงุดหงิดเพราะอยากทำให้เสร็จไวๆจะได้พักเหนื่อย แต่ก็รู้อยู่ในใจเล็กๆว่าที่รถดับคงเป็นเพราะกอไผ่จริงๆ ไม่ทันนานแกเลยจัดการเอาไฟเผาเลย แกว่าเผาทั้งกอไผ่เผาทั้งรอบบริเวณเลย ทำไปทำมา ไฟที่ลุกลามกลับไม่ไหม้เข้ากอไผ่กอนี้ ตาแปก็เลยงง ทำไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นค่ำแล้ว เนื่องจากแกยังไถไร่ได้ไม่ตรงเป้า เลยต้องนอนบนเขา แกก็ไปยิงนกได้มาพอกินแก้หิว พอกินแล้วก็เผลอหลับไป
แกบอกว่าในช่วงหัวค่ำที่แกกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็มีผู้ชายสูงอายุใส่ชุดสีขาว ในจิตนั้นบอกว่าร่างที่เห็นคือ "ตาปะขาว" มายืนตรงหน้า แล้วถามแกว่ากินข้าวหรือยัง ตอนนั้นตาแปแกก็ตอบว่าหิว ตาปะขาวก็เอาข้าวเอาปลามาให้กิน ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แกก็หลับไปจนถึงดึกๆจำเวลาไม่ได้ ทีนี้พอแกตื่นขึ้นมา แกบอกว่ารู้สึกอิ่มยังกับพึ่งกินไปเมื่อกี้ ทั้งๆที่ค่ำวันนั้นแกได้แค่ยิงนกตัวเล็กๆมาย่างกินพอรองท้อง แกก็รู้สึกแปลกใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับฝันเมื่อกี้หรือเปล่า
และในคืนนั้นแกก็ได้สังเกตเห็นแสงไฟวาบๆวิ่งเข้าไปในกอไผ่ สักพักแสงนั้นก็วิ่งออก แล้วก็วิ่งเข้าไปอีก แกก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะไม่ใช่คนสนใจเรื่องอะไรพวกนี้มากมายอยู่แล้ว ตอนนั้นแกคิดว่าพรุ่งนี้รีบตื่นมาไถต่อดีกว่า แล้วก็หลับไป
พอถึงเช้า ครั้นจะไถไร่ต่อก็ทำไม่ได้ เหมือนรถจะเสีย แล้วทีนี้เวลารถไถเสียมันซ่อมยากมาก แกก็โทรหาช่างให้ช่างหาอะไหล่ใหม่มาเปลี่ยนให้ แต่เนื่องจากพื้นที่ๆแกอยู่มันค่อนข้างไกลและทุรกันดาร แกก็เลยต้องรออยู่หลายวัน จนสังเกตเห็นว่าในตอนเข้า และตอนเย็น จะมีแสงวิ่งเข้ากอไผ่นี้ พอถึงเช้าอีกวันแกก็อดใจไม่ไหว แกก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆกอไผ่ที่มีอะไรแปลกๆกอนั้น พอสังเกตดูใกล้ๆจริงๆแกก็เห็นว่ามีลำไผ่นึงที่มันแปลกๆคือ "ปลายมันด้วนและมีสีดำ"
ตาแปก็เลยสงสัย ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาว่างๆที่แกกำลังรออะไหล่ก็ไม่รู้ทำอะไร แกเลยไปหาของป่า เก็บผักกูดเก็บผักต่างๆว่าจะมาทำหลาม บวกกับอารมณ์เห็นต้นไผ่แล้วคิดถึงรสชาติหนอนรถด่วน แกเลยจัดการถือมีดพร้ามุ่งตรงไปที่กอไผ่กอนั้น แกก็ฟันไปฟันมาหลายลำ แต่ก็ไม่เจอรถด่วน ทีนี้พอแกจะฟันลำไผ่ปลายด้วนดำลำที่ว่า ฟันยังไงก็ฟันไม่โดน แกบอกเหมือนมีแรงต้านมีดให้ปัดเฉวียนไปทางอื่น เหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่มันจะต้านกัน ถึงจะฟันโดนยังไงก็ไม่เข้า เหมือนแรงต้นแต่แผ่วปลาย ตาแปเจอแบบนั้นแกก็กลัวๆเหมือนกันเลยไม่กล้าจะไปยุ่งอะไรกับกอไผ่กอนั้นต่อ
แกก็มานึกวกไปวกมาถึงเหตุการณ์ประหลาดๆทั้งหมดที่แกเจอในไร่นี้ ทั้งเรื่องชีปะขาวมาหาในนิมิตและกอไผที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา แกก็เลยคิดในใจว่า "เอ้หรือจะเป็นของดีแท้ติ" ในคืนนั้นตาแปแกเลยเอากิ่งไม้มาทำเป็นเทียน เด็ดดอกสาบเสือดอกไม้ป่ามาเป็นดอกไม้บูชา แล้วยกมือพนมกล่าวว่า "เทวบุตรเทวดา ถ้ามีของดีจริงขอให้ลูกได้เด้" พอแกขอแล้วก็หลับไป
ในคืนนั้นแกฝันว่าชีปะขาวคนเดิมบอกว่า "ถ้าจะเอาของดีจริงๆให้ไปหาเพื่อนมาอีกสองคน เพราะของนี้มันจะได้ มันจะใช้ คนเดียวไม่ได้" พอตาแปแกฝันแบบนี้ปุ๊ป แกก็ไม่รีรอรีบโทรหาตาอูเพื่อนแก พอตาอูทราบเรื่องก็ตามพระอาจารย์โอ ให้ช่วยไปทำพิธีให้ จึงครบสามคนตามที่ตาปะขาวว่าพอดิบพอดี
เมื่อพระอาจารย์โอท่านไปถึงก็ทำพิธีตามที่เรียนมา พระอาจารย์โอท่านว่ามันก็แปลกดี พอเอามีดฟันไปที่ลำไผ่ปลายด้วนดำ มันกลับหลบมีดได้ เรียกว่าเจอเหมือนที่ตาแปแกเจอมาก่อนหน้านั้น พระอาจารย์โอท่านจึงทำพิธีบอกกล่าวเทวดา จัดสำรับ "พาหวานเลี้ยงสี่พา (มีของหวานทั้งหมดสี่ชนิด จัดเป็นสี่ถาด สำหรับเทวดากินคาวไม่กินหวาน มีกลเม็ดเคล็ดลับในการจัดถวาย)” ไปขออีกครั้ง
ลำไผ่ปลายด้วนดำที่ว่าถึงค่อยๆโน้มลงเหมือนจะล้มแต่ไม่ล้ม ค้างอยู่อย่างนั้น พระอาจารย์เห็นเป็นนิมิตหมายอันดี เลยฟันเข้าไปที่ลำไผ่ คราวนี้ไม่พลาด ฟันขาดดังโป๊ะ แล้วก็มีก้อนวัตถุสีดำๆหลุดออกมาจากปล้องไผ่สามอัน พระอาจารย์โอ ตาแป และตาอู ก็เลยแบ่งกันคนละก้อน ซึ่งหลังจากตาแปและตาอูได้เทียนคล้าไป ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นตามลำดับ อาจจะไม่ได้รวยถึงขั้นมหาเศรษฐีพันล้าน แต่ก็เรียกได้ว่าชีวิตเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ก็คิดดูว่าตาแปไถที่ไถไร่เป็น 10 ปีได้แบบสบายๆแถมได้ค่าจ้างเยอะกว่าคนในสายอาชีพเดียวกัน จนคนรู้จักที่แกคอยเลี้ยงเหล้าอดใจไม่ถามไม่ไหวว่าแกมีอะไรดี
ผ่านไปอีกประมาณปีนึงพระอาจารย์โอก็กลับไปที่ไผ่กอนั้นอีก ท่านว่าก็ได้มาอีกเท่าเม็ดข้าวสารมาหกเจ็ดเม็ด คิดว่าน่าจะเป็นเศษเสี้ยวที่เหลือของกายสิทธิ์ที่เคลื่อนตัวไปอยู่อีกลำไผ่นึง ปัจจุบันตาอูยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตาแปได้เสียชีวิตไปแล้ว น่าเสียดายที่ว่าเทียนคล้าของตาแป คงตามไม่ได้แล้ว เพราะมีชาวม้งรู้ว่าของขลังประจำตัวแกเป็นของดี เลยขนหมูหลายร้อยกิโลมาขอแลกกับตาแปไป
ตำนานเทียนคล้า
ตอนที่.3 กายสิทธิ์แสนตรีเพชรกล้า
เทียนคล้าชุดนี้ มีกลุ่มคนที่นิยมสะสมของวิเศษในตำนานตามตะบี้ตะบันจากพระอาจารย์โอมากว่า 20 ปีแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีในบรรดาพวกที่เล่นของกายสิทธิ์ทนสิทธิ์ทั้งหมดว่า การจะหาเทียนคล้าตัวจริงๆนั้น หาตัวแทบไม่มี และไม่มีใครรู้ว่าเทียนคล้าจริงๆต้องออกมาจากปล้องไผ่ พระอาจารย์โอท่านได้กล่าวถึงการเกิดขึ้นของกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่าเทียนคล้า แรกเริ่มเดิมทีเป็นกายสิทธิ์ที่เกิดจากต้นคล้า เมื่อมีฤทธิ์มีกำลังกายสิทธิ์เต็มเปี่ยม ก็จะบินออกจากต้นคล้าไปทันที และจะไปอาศัยอยู่ในปล้องไผ่อันเป็นสถานที่มิดชิดและปลอดภัยกว่าต้นคล้าที่สูงแค่หัวเข่า
เป็นกายสิทธิ์ที่สามารถออกเที่ยวไปไหนมาไหน แต่ก็จะกลับมาอยู่ในปล้องไผ่ที่ถูกเลือกดังเดิม คนที่รอว่าจะได้เทียนคล้าจากต้นคล้าจึงไม่มีใครเคยเอาทัน หลายคนที่มุ่งไปล่าเทียนคล้าจากต้นคล้า ให้ตายก็หาไม่เจอหรอก แม้แต่คนที่ปลูกบ้านอยู่ในป่าคล้าทุ่งคล้าเลยก็ไม่เคยเจอ จึงเป็นเหตุให้หลายคนลงความเห็นว่า เทียนคล้าคงเป็นแค่เรื่องเล่าไม่เคยมีจริง
เทียนคล้า เกิดจากการสมาสของคำสองคำ "เทียน" ในที่นี้คือ มีวรรณะกึ่งทึบกึ่งโปร่งแสง ดั่งเทียนไขขี้ผึ้งที่แสงผ่านได้ และยังหมายถึงวัตถุที่เรืองแสง ออกแสง และเคลื่อนที่ด้วยแสงอีกด้วย ส่วนคำว่า "คล้า" ในที่นี้ก็คือเกิดจากต้นคล้า คำว่า "เทียนคล้า" ก็จึงมีนัยยะอันหมายถึง แสงจากต้นคล้า เป็นของวิเศษที่เป็นทั้ง "แสง" คือวัตถุที่มีแสงในตัว แสงส่องผ่านได้ และออกแสงเรืองแสงเองในวันดิถี เป็นทั้ง "คด" คือไม่ตรง ผิดแผกไปจากธรรมชาติที่ควรจะเป็น และเป็นทั้ง "กายสิทธิ์" คือมีชีวิตจิตใจเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง เป็นของวิเศษ "ไตรภาคี" เสร็จสรรพในตัว
"เทียนคล้า" ชุดนี้ตั้งแต่มาอยู่กับพระอาจารย์โอท่านก็ทำพิธีเลี้ยงเรื่อยมา ท่านว่ามันงอกและเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย เพราะแต่ก่อนมีไม่เยอะแบบนี้ ถือเป็นของดีของวิเศษที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถเอาไปใช้ได้ทุกทาง เป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งค้ำคูณ เป็นของชุ่มเย็น ที่ช่วยไม่เลือก ไร้กฏเกณฑ์ ไร้เงื่อนไง อยู่เหนือสมมติ ดูตัวอย่างได้จาก "ตาแป" จากคนไม่พอจะมีก็มี ไม่พอจะรวยก็รวย แคล้วคลาดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทั้งๆที่ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย ขนาดตรีเพชรกล้ายังฝังไว้ที่แผ่นหลังเพื่อคุ้มครองป้องกันภัย อยู่ยงคงศาสตราวุธ เก่งกาจจนได้เป็นแม่ทัพเมืองเชียงใหม่ เป็นยอดขุนพลในตำนานที่ว่ากันว่าไม่เป็นรองใครนอกจากขุนแผนแสนสะท้านเลยทีเดียว พระอาจารย์เคยนำเทียนคล้าชุดนี้ใส่วัตถุมงคลพิเศษรุ่นนึงไปไม่กี่องค์ ตอนนั้นออกให้บูชาหลักแสน แต่คนที่ได้ไปล้วนกำไรหลักล้าน
พระอาจารย์โอนำ "เทียนคล้า" ออกมาจากกระปุก เพื่อบรรจุลงในตลับรูปหัวใจพร้อม "สีผึ้งมหาราชทั้ง4" ดุจดวงใจของนักล่าของวิเศษในตำนาน