รายละเอียด:
•มอบไว้แด่มหาบุรุษผู้จะเป็นตำนานต่อไป•
“พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา” ท่านได้กล่าวไว้เช่นนี้แล
เปิดกรุปล่อยออกมาเพียง 3 ชุดเท่านั้น
นุกาหม่านวินไกน์
นิกายนักรบที่มีฤทธิ์เดชของพญานาค
ความเก่งกาจเหนือมนุษย์ที่ยากจะบรรยายได้หมด
นุกาหม่าน = แปลว่าฤทธิ์เดชของพญานาค
วิน = แปลว่านักรบ
ไกน์ = แปลว่านิกาย
เมื่อนำคำทั้ง3มารวมกันจะได้ความหมายว่า "นิกายแห่งนักรบที่มีฤทธิ์เดชของพญานาค" กลุ่มนิกาย "นุกาหม่านวินไกน์" หรือเรียกกันสั้นๆว่า "วินไกน์" นี้ขึ้นชื่อว่าหยิ่งทรนง ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่เคยจำนนต่อผู้ใด ลึกลับจนเป็นตำนานและเข้ายากที่สุด ว่ากันว่าในจำนวนคนหนึ่งล้านคนจะมีเพียงแค่คนเดียวที่ได้โอกาส และครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตที่จะได้เข้านิกายนี้
"นุกาหม่านวินไกน์" ไม่อยู่ในลิสรายชื่อนิกายที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลพม่า เพราะแม้แต่จอมเผด็จการเนวิน ก็ไม่กล้ายุ่งวุ่นวายกับนิกายนี้ นิกายวินไกน์มีทุกอย่างยกเว้นเอ็กกิ๊ยะ เป็นทั้งสำนักดาบ ต่อสู้ เพลงมวย และไสยศาสตร์ ครบเครื่อง ขึ้นชื่อมากเรื่องคงกระพัน มีกองกำลังทหารของตัวเอง เรียกว่า"กองกำลังฆ่าไม่ตาย"
คนในนิกายนี้กระจายอยู่ไปทั่ว โดยมากอยู่ทางอินเล เจ้าอาว และ พุกาม เป็นสำนักปิดต้อนรับแต่พวกพ้อง พระอาจารย์โอท่านสันนิษฐานได้ว่า นิกายวินไกน์เป็นนิกายที่นับถือพุทธศาสนาแบบเปอร์เซีย คล้ายกับธิเบต หรือเดิมทีอาจจะเป็นนิกาย "อะ ยี กยี" ที่โดนพระเจ้าอโนรธาแห่งพุกามกวาดล้างในสมัยนั้นก็เป็นได้ ด้วยความที่ว่าการจะบังคับให้คนในนิกายวินไกน์นี้เข้ากลุ่มหรือทำตามกฏแบบคนทั่วไปเป็นเรื่องลำบากมาก ด้วยความทรนง ไม่ยอมลงให้ผู้ใด ผู้ปกครองในสมัยนั้นจึงต้องพยายามกวาดล้างไม่ให้เหลือ
และอีกสาเหตุที่ทำให้ในอดีตนิกายวินไกน์โดนกวาดล้างคือ ก็ด้วยว่าคนในนิกายถือว่ามีดีกว่าใคร ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ดูถูกเหยีดหยามทุกนิกาย แต่ให้ความเคารพ "เอ็กกิ๊ยะ" นิกายเดียว จึงอาจมีเหตุให้ต้องระรานนิกายอื่นไปทั่ว ความพรั่นพรึงของวินไกน์ แม้แต่ "สย่าจี" ผู้เป็นอาจารย์อาวุโสก็ไม่อาจควบคุมคนนิกายนี้ เป็นเหตุให้สะย่าจีได้บอกวิธีทำลายคนในนิกายวินไกน์กับคนของรัฐบาล เพื่อให้ทางการได้กวาดล้าง อภิสิทธิ์ชนจะได้เหลือน้อยลงเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นพอถึงจุดๆหนึ่งนิกายวินไกน์อาจจะยิ่งใหญ่จนถึงขั้นควบคุมไม่ได้จากความวิเศษเหนือมนุษย์มนาของพวกเขา
ตัวอย่างความวิเศษพิสดารของนิกายนี้ก็อย่างเช่นว่า ถ้าเทียบกับนิกาย "ซวยยินกโย" แล้ว ขั้นวิชาระดับต่ำสุดของนิกายวินไกน์ สามารถเรียกใช้เทพองค์รักษาดูแลประจำนิกายของซวยยินกโย ขั้นที่.9 ได้แบบสบายๆ หรืออย่าง "ดาบพิรุณพริ้ว" แต่ก่อนพระอาจารย์โอท่านเคยคิดว่า "ดาบฟ้าฟื้น" คือที่สุดตำนานดาบวิเศษ แต่พอท่านได้มีโอกาสสัมผัสกับดาบพิรุณพริ้วของวินไกน์ ท่านจึงต้องเปลี่ยนความคิดเดิมไป เพราะแค่ขนาดดาบพิรุณพริ้ว ดาบระดับล่างๆของวินไกน์ ที่คนชั้นสูงในนิกายวินไกน์ใช้พกเล่นๆ ถ้านำมาเทียบกับดาบฟ้าฟื้น ก็อาจพูดได้ว่าดาบฟ้าฟื้นก็เหมือนกับดาบไม้ไปเลย นี่ขนาดเป็นอาวุธที่คนในนิกายใช้พกเล่นๆ ถ้าเป็นอาวุธประจำนิกายจริงๆแล้วละก็คงหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ยาก
นอกจากนี้นิกายวินไกน์ยังเป็นนิกายที่ใช้ "ของเล่น" ใส่ตัวเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองเหมือนกับการเสกยันต์เข้าตัว พม่าเรียกว่า မှော် (หโม) ถ้าเกิดเอา "หโม" ออก ก็จะไม่มีฤทธิ์และจะแก่ลงทันที วิชานี้หายากแทบจะสาบสูญ ไม่ค่อยรับผู้สืบทอด แถมยังเป็นวิชาต้องห้ามของยุทธภพ เพราะอำนาจที่ได้จะเกินมนุษย์ ดุจเทพเจ้า การที่จะสำเร็จวิชาหโมได้ ต้องฝ่าบททดสอบที่ลำบากและยากมาก จะมีการกินยาและพิธีปฎิบัติ เพื่อให้ "หโม" ยอมรับในตัวผู้เรียนก่อน ถือเป็นวิชาที่สุดยอดจริง แต่ก็อันตรายถึงชีวิต จึงต้องมีครูชี้แนะอย่างละเอียด หากพลาดก็ถึงกับจบเห่เลย
"หโม" เหมือนกับ การนำพลังงานบางอย่างเข้าสิงในตัวผู้ใช้หรือวัตถุ ถ้าสำเร็จวิชานี้แล้ว จะให้อะไรเข้าสิงตัวเองหรือสิงในวัตถุก็ทำได้ อย่างเช่น ถ้าเอาหโมที่เป็นแมวเข้าตัว ก็จะมีความสามารถเหมือนแมว แบบนี้เป็นต้น เหมือนเหตุการณ์ในหนังไทยเรื่องหนึ่ง ที่นานฮ้อยทมิฬ ปลุกลิมลม ปลุกเสือเผ่นเข้าในตัว เวลาต่อสู้กับศัตรู
ซึ่งหลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ว่า "หโม" คือการเรียกวิญญาณของสิ่งมีชีวิตมาใช้งานในรูปแบบของการเข้าสิงหรือเปล่า แต่แท้จริงแล้ว "หโม" คือการนำความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งนั้นๆ เสกให้สิงเข้าไปในสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของ เมื่อหโมเข้าไปแล้ว อานุภาพจะสำแดงเดชไปทางไหน ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของหโมที่ถูกเรียกมาใช้ วิชานี้เดิมทีมาจาก "ชฎิล3พี่น้อง" ที่พระพุทธเจ้าได้ไปโปรดมาเป็นสาวกเมื่อสมัยพุทธกาล
จากการสืบหาข้อมูลมานานเท่าที่พระอาจารย์โอท่านได้พูดคุยกับคนชั้นสูงในนิกายวินไกน์ ล่าสุดพบว่า ณ ปัจจุบัน นิกายนี้ยังคงมีอยู่ในพม่า เป็นที่รู้จักของทุกนิกายแต่ทุกนิกายต่างไม่อยากยุ่ง นิกายวินไกน์ได้แยกออกมาหลายกลุ่ม เป็นสิบๆกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มที่แยกออกมา จะมีชื่อคำว่า "วินไกน์" อยู่หลังทั้งหมดเป็นนามสกุล ซึ่งการชี้ชัดว่ากลุ่มไหนเป็นนิกายดั้งเดิมคงทำได้ยาก แต่เท่าที่ทราบได้ตอนนี้คือ วินไกน์ทุกกลุ่มจะมีปรมาจารย์เพียงท่านเดียวคือ "สย่า มยะ" เป็นผู้ที่ถูกมอบหมายหน้าที่ต่อมาอีกทีจาก "พระอาจารย์หลวงพ่อ (เสติ)" ดังนั้นแม้ว่าจะแยกออกมาหลายกลุ่ม แต่ก็ยังนับถือปรมาจารย์องค์เดียวกัน
ในกลุ่มต่างๆของนิกายวินไกน์ จะมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่โดดเด่น เป็นกลุ่มวินไกน์ที่แยกตัวเองออกมาแล้วตั้งชื่อนิกายใหม่เองโดยไม่ใช้แซ่นามสกุลวินไกน์ต่อท้าย มีเพียงนิกายเดียวที่ทำเช่นนี้ นั่นคือ "มโน จิต ตุป ปาท" โดยจุดสูงสุดของนิกายมโนจิตตุปปาทนั้น จะเทียบเท่ากับขั้นที่ 3 ของนิกายวินไกด์ดั้งเดิมเท่านั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้นิกายมโนจิตตุปปาทมีข้อกำจัดในพิธีกรรมหลายๆอย่าง อย่างเช่นว่าไม่สามารถปรุงตัวยาประจำนิกายใช้เองได้ ต้องอาศัยการพึ่งพาของเก่า แบบทำยาใหม่โดยต่อเชื้อจากยาเก่า เพิ่มจำนวนต่อเอาเรื่อยๆและต้องคอยระวังอย่าให้ตัวยาหมดไปนั่นเอง
ยาสักพญากายคำ, พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา, พุทธสถานวิหารพระธรรมราช, จ.เพชรบูรณ์
สำหรับผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งการสักยันต์ อาจจะใคร่เคยสงสัยว่า รูปลายสักของคนโบราณที่เขาสักรูปนั้นรูปนี้กันอย่างเช่น "ขาก้อม" ของชาวล้านนา หรือการสักยาเข้าตัวเป็นจุดๆตามร่างกายอย่างวิชาสักสายพม่านั้น เขาเอาคาถาตัวไหนมาปลุก เพราะบางลายสักก็ไม่ปรากฏอักขระเลขยันต์ให้เห็นหรือต้องใช้บทคาถาใดในการปลุกเสก แต่ลายสักนั้นกลับมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์จนมีเรื่องให้เล่าขาน ได้สร้างความเชื่อความศรัทธา จนก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีมาถึงปัจจุบัน...
ซึ่งเคล็ดลับความขลังในวิชาสักโบราณเหล่านั้น หาใช่มาจากตัวคาถาที่ใช้สักเสกหรืออักขระเลขยันต์ที่ลง แต่กลับมาจาก "ตัวยา" ที่นำมาใช้สัก คือการสักในยุคโบราณจะเน้นให้ความสำคัญที่ตัวยาหรือน้ำมันที่นำมาสักเป็นที่สุด ยาที่นำมาสักเข้าไปในตัวคน จะต้องผ่านกรรมวิธีขั้นตอนมากมาย ทั้งในแง่ของมวลสารและพิธีกรรม คือต้องทำยาให้สำเร็จถึงขั้นที่ว่า "แม้คนที่อ่านคาถาไม่ออก เสกอักขระไม่เป็น เอาไปสักอะไรก็เข้มขลังทันที" เพราะอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดอยู่ในยาสักพร้อมสรรพเรียบร้อยหมดแล้ว
สำหรับยาสักชุดนี้ในชุดจะประกอบไปด้วย ยาแดง ยาดำ และน้ำมันทาหลังจากสักเสร็จ ยาสักชุดนี้เรียกว่า ตติยะเส่โยกี, ส่วยกี, เส่ยอกี, เซโยจี, ตติยะเส่ด่อจี ก็เรียกแล้วแต่สำเนียงการออกเสียง เป็นสมบัติส่วนตัวของ "สย่าจี" ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดแห่งนิกายนุกาหม่านวินไกน์ในตำนาน พระอาจารย์โอท่านได้เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไป โดยเรื่องมีอยู่ว่า สย่าจีองค์ประมุขแห่งวินไกน์ มีลูกสาวอยู่คนนึง อายุประมาณแปดสิบได้ แต่หน้าตาของเธอกลับเหมือนเด็กสาววัยรุ่นอายุ18 ทีนี้ลูกศิษย์ของพระอาจารย์โอคนนึงที่พม่า ดันไปเกี้ยวพาราสีลูกสาวประมุขวินไกน์ โดยไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรืออายุเท่าไหร่ สุดท้ายก็ถึงขั้นเข้าหอร่วมโรงกัน โดยที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายยังไม่ทราบ
ซึ่งธรรมเนียมเคร่งครัดของที่นั่นถือว่า หากชายหญิงได้เสียกันแล้ว ต้องจัดงานแต่งงานทันที พอเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ลูกศิษย์ของพระอาจารย์โอก็ได้ทราบความจริงทั้งหมดว่า หญิงสาวรูปงามที่เขาหลงรักนั้น อายุอานามของเธอมากกว่าแม่เขาเสียอีก หนำซ้ำยังเป็นลูกสาวของสย่าจีแห่งนิกายผู้วิเศษที่แม้แต่รัฐบาลพม่าก็ไม่กล้ายุ่ง
หลังจากรู้ความจริง ในตอนแรกลูกศิษย์พระอาจารย์ตกใจกลัวจนสติแทบหลุด ถึงกับร้องโวยวายว่า "กูไม่แต่ง กูไม่แต่ง (เสียงสูง) มันไม่ใช่คน มันเป็นผี" และตั้งใจว่าจะหนีงานแต่งให้จงได้ แต่เหมือนลูกสาวสย่าจีจะรู้ทัน คนในนิกายจึงมาช่วยกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเจ้าบ่าวจำเป็นกันยกใหญ่ จนในที่สุดเจ้าบ่าวก็หนีไม่พ้นชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง ได้เข้าพิธีแต่งงานกับลูกสาวสย่าจี เป็นคู่สามีภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณีที่นั่น
ลูกศิษย์พระอาจารย์จึงได้เป็นลูกเขยของสย่าจี และได้เข้าเป็นสมาชิกนิกายวินไกน์ไปโดยปริยาย พอผัวเมียนอนคุยกัน ต่างฝ่ายก็คุยให้ฟังถึงเรื่องต่างๆ ทีนี้ลูกศิษย์พระอาจารย์ก็รู้ว่านิกายนี้ไม่ธรรมดา เลยอยากจะขอของวิเศษมาถวายพระอาจารย์โอ เพื่อทดแทนคุณครูบาอาจารย์บ้าง เขาก็เลยบอกลูกสาวสย่าจีว่าอยากได้ของดีไปฝากพระอาจารย์ ลูกสาวสย่าจีก็เลยไปบอกพ่อที่เป็นประมุขแห่งวินไกน์ สย่าจีจึงได้มอบยาสักชุดนี้มาให้พระอาจารย์ตามที่ลูกเขยและลูกสาวขอมา
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือสย่าจีได้เมตตาแบ่ง "ยาประมุข" ให้พระอาจารย์ไว้อีกด้วย ยาประมุขเป็นยาสำคัญที่จะทำให้ยาดำยาแดงมีฤทธิ์สูงสุด เป็นยาเหนือยาทั้งปวง ที่เฉพาะผู้เป็นประมุขในนิกายเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ถือครองไว้ ยาตัวนี้วิเศษเป็นอย่างมาก สย่าจีจะมีกรรมวิธีในการฝนยาประมุขใส่ยาดำยาแดงเพื่อสักยาเข้าตัวให้เฉพาะผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมีวาสนา สมมติว่าสักให้100คน ถ้าสย่าจีพอใจคนไหนถึงจะนำยาประมุขฝนใส่ผสมยาดำยาแดงให้ ซึ่งพระอาจารย์โอก็ได้เมตตาฝนยาประมุขใส่ไปในยาดำยาแดงให้เรียบร้อย
ถือเป็นยาสักขั้นสุดยอดจริงๆ เหมือนที่พระอาจารย์โอท่านเคยเห็นมา เรียกว่า "กรอกยา" คือตัวยาสักจะถูกเก็บไปในภาชนะพิเศษที่ทำจาก "ไม้บง" เป็นไผ่ชนิดนึง ที่ในตำนานพื้นบ้านเชื่อกันว่า เคยถูกปลูกไว้บนสวนสวรรค์ของพระอินทร์ ตำนานเล่าขานกันว่า วันหนึ่งพญาฮ้อได้ไปดื่มสุราเสพเมรัยกับพระอินทร์ แล้วเกิดเปรี้ยวปาก พญาฮ้อจึงไปกินส้มป่อยในสวนของพระอินทร์จนหมด พญาฮ้อก็หาของกินแกล้มสุราไปเรื่อย จนไปเจอกับหน่ออ่อนของไผ่บง พอพญาฮ้อได้กินเท่านั้นก็ถูกใจในรสชาติอันเอร็ดอร่อยนั้นเป็นอย่างมาก จึงโยนไผ่บงลงมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อจะได้ขยายพันธ์ให้มีไว้กินได้มากมายยิ่งกว่าที่มีในสวนของพระอินทร์ ไม้บงจึงมีอีกชื่อว่า "ไม้เหี๊ยะ" ที่แปลว่าไม้ที่ร่วงหล่นลงมา คือเหี๊ยะจากสวรรค์ ร่วงมาจากสวนพระอินทร์ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าไม้บงหรือไผ่บง เป็นไม้ที่สามารถบรรจุวัตถุอาถรรพ์อันมีฤทธิ์ได้โดยไม่เสื่อมฤทธิ์ คนโบราณจึงนิยมนำไม้บงมาทำเป็นถ้วยสัก หรือนำมาสานเป็นภาชนะให้เก็บของวิเศษต่างๆ และในบรรดาของวิเศษที่กล่าวขานกันว่าสุดยอดนั้น "ไม้บงตัน" ก็มักมีชื่อติดอยู่ในโผเสมอ
ยาสักที่ถูกเก็บไว้ในไม้บงเช่นนี้ จะเหนือชั้นกว่า "เส่ต่อ" หลายขุม เพราะเส่ต่อที่ถูกปั้นขึ้นมาเป็นรูปต่างๆนั้น จะเป็นตัวยาอีกประเภทนึงที่องค์ประมุขทำขึ้นมาเพื่อให้สาวกคนทั่วไปถือกัน แต่ถ้าเป็นยาตัวจริงทีเด็ดของนิกายจะเป็นลักษณะแบบนี้ อย่าว่าแต่ได้สัมผัสเลย เรียกว่าแทบไม่มีทางหลุดรอดออกมาให้ใครเคยได้เห็นด้วยซ้ำ โดยเฉพาะยาแดง อาจารย์สักโบราณต่างรู้กันว่ายากนักยากหนาที่จะได้มา ส่วนใหญ่จะได้แต่ยาดำกัน เพราะไม่มีทางหลุดออกมาจากต้นกำเนิดเลย อย่างเช่นสมัยก่อนพวกกุลาที่มาสักลายในประเทศไทยก็จะสักแต่ยาดำ พวกเขาจะไม่สักยาแดงให้คนไทยเด็ดขาด เพราะเป็นยาชั้นสูงที่คนมีจะสงวนไว้สักให้เฉพาะคนเท่านั้น ซึ่งคนที่รู้วัตถุดิบส่วนผสมกรรมวิธีในการสตุยาทั้งหมดคือสย่าจีเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญสย่าจีจะไม่ถ่ายทอดวิชาให้ใคร นอกจากตัวสย่าจีได้ตายไปแล้ว47วันแล้วฟื้นขึ้นมา ถึงจะถ่ายทอดให้ได้1คน คือเป็นวิชาที่ถ่ายทอดชาตินี้ไม่ได้ ต้องถ่ายทอดชาติที่สอง ต้องตายแล้วเกิดใหม่
พระอาจารย์โอท่านว่า ท่านก็กุมความลับของยาวิเศษวินไกน์มานานแล้ว ถึงเวลาก็ไม่รู้จะเก็บเป็นความลับไปอีกทำไม ถึงเวลาปล่อยก็ต้องปล่อย ฝากไว้ให้โลกมันมี ออกให้บูชาเพียง3ชุดเท่านั้น เผื่อว่าใครจะนำไปให้ครูบาอารย์ที่ตนเองศรัทธา สักยันต์ให้ตามเจตนา บุคคลผู้นั้นจะกลายเป็นมหาบุรุษพญากายคำ เมื่อผิวกายกระทบแสงตะวัน ตัวจะมีรัศมีสีทองซ่านแผ่ออกมา เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวา มนุษย์ทุกคนจะอยู่ใต้หล้า เพราะยอดคนคือคนเหนือคน จึงได้ชื่อว่า “วิชาพญากายคำ”
วิธีการใช้:
สำหรับยาแดงและยาดำ สามารถผสมน้ำเปล่าสักได้เลย หรือตามตำราก็ให้ผสมน้ำไผ่, น้ำมะเดื่อ, หรือน้ำถวายพระพุทธรูป ก็ได้ตามศรัทธา แต่ห้ามผสมกับ "เหล้า" เด็ดขาด (ว่ากันว่าสย่าจีท่านเคยใช้น้ำล้างหน้าพระมหามัยมุนีมาผสมเพื่อเอายาเข้าตัวให้คนในนิกาย)
โดย "ยาแดง" ให้นำมาสักตั้งแต่เอวขึ้นไป ส่วน "ยาดำ" ให้นำมาสักตั้งแต่เอวลงมา เมื่อสักเสร็จแล้วให้นำน้ำมันอีกหนึ่งขวดในชุด ไปทาบริเวณที่สัก เท่านี้ก็เป็นอันจบพิธี ชุดนึงสามารถนำไปสักได้เยอะมาก
โดยปกติถ้าอาจารย์สักท่านไหนจะสักยันต์ให้ลูกศิษย์ โดยมากก็จะใช้หมึกธรรมดามาสัก แล้วสักเสกว่าตามสูตรไปตามที่ร่ำเรียนมา ลายสักนั้นถึงจะมีความขลัง แต่ยาสักพญากายคำชุดนี้แม้แต่อาจารย์สักท่านนั้นไม่มีวิชา แต่เอายาชุดนี้ไปสัก (โดยไม่วิบัติ) มันก็จะเป็นตัวขึ้นมา เอาไปสักตัวไหนก็จะเป็นตัวนั้น ทุกรูปทุกยันต์ที่อุบัติขึ้นจากยาชุดนี้จะมีชีวิต อิทธิฤทธิ์และจิตวิญญาน นี่แหละคือคำตอบว่าทำไมสย่าจีแห่งวินไกน์จึงไม่ปล่อยยาชุดนี้ออกมา ให้แก่คนที่ไม่คู่ควรหรือเห็นค่าเด็ดขาด
ข้อห้าม:
ส่วนข้อห้ามของยาสักชุดนี้นั้น จริงๆในนิกายค่อนข้างจะห้ามเยอะมาก แต่ถ้าเอาใครนำไปสัก ก็ให้ยึดถือตามข้อห้ามของเกจิอาจารย์ท่านนั้นๆไป แต่มีข้อห้ามหลักอยู่ข้อนึงที่ทุกคนที่จะสักยานี้ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัดคือ "ห้ามกินของเซ่นไหว้ผี"
เพราะวิชาพญากายคำจะเปลี่ยนร่างขันธ์มนุษย์สามัญให้เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวะไปโดยปริยาย ดังนั้นการจะลดตัวไปกินของเซ่นของไหว้มันก็กระไรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ท่านต้องตั้งมูลค่าไว้ให้สูง คือถ้าคนไหนมีเงินซื้อไปสัก ก็คงยากจะผิดข้อห้ามนี้ได้ เพราะคงไม่ต้องอดต้องอยากหรือพลาดไปกินของเซ่นไหว้ผีกระมัง ส่วนคนหาเช้ากินค่ำที่อาจจะต้องฝากท้องที่นั่นที่นี่ ยังมีความสุ่มเสี่ยงที่จะละเมิดข้อห้ามนี้ ก็แนะนำว่าอย่าเอาไปดีกว่า เพราะครูแรงมาก